วันอังคารที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2552

กรณีศึกษาไอทีกับงานซ่อมบำรุงที่โรงพยาบาลศิริราช

สรุปปัญหาของงานซ่อมบำรุงของโรงพยาบาล ศิริราช ก่อนที่จะนำระบบไอทีมาใช้งานและวิเคราะห์ไอทีกับงานซ่อมบำรุงของโรงพยาบาลศิริราช ตามหัวข้อดังนี้

1 . เครือข่ายคอมพิวเตอร์ - มีการใช้เครือข่ายคอมพิวเตอร์มาช่วยโดยเมื่อก่อนในการแจ้งซ่อมของหน่วยงานต่างๆจะต้องส่งใบแจ้งซ่อมไปยังหน่วยซ่อมบำรุงแล้วทางหน่วยจึงออกมาซ่อมแล้วค่อยลงบันทึกรายละเอียดและปัญหา แต่ในปัจจุบันมีการใช้ระบบเครือข่ายเข้ามาช่วยในการแจ้งซ่อมซึ่งสะดวกและรวดเร็ว
2 . อินเทอร์เน็ต - มี เพราะระบบที่ใช้อยู่มีการทำงานแบบ Web-Based ซึ่งสามารถใช้งานผ่านอินเตอร์เน็ตได้
3 . พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ - มี เนื่องจากได้มีการเชื่อมต่อกับคุ่ค้าที่ได้มีการซึ้ออุปกรณ์บางอย่างที่ต้องให้เขาเข้ามาดำเนินการซ่อมเองและมีการซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ผ่านทางระบบ
4 . ระบบสารสนเทศประมวลผลธุรกรรม - มี เพราะมีการเบิกจ่ายและตรวจเช็คอุปกรณ์ต่างที่มีการเบิกจ่ายได้ตลอดเวลา
5 . ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ - มี เนื่องจากระบบที่ใช้อยู่สามารถทำให้ผู้บริหารเห็นข้อมูลต่างๆรวมทั้งปัญหาที่เกิดขึ้นว่ามีมากน้อยเพียงใด
6 . ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ - มี เพราะเราสามารถรู้ว่ามีปัญหากับอุปกรณ์ใดบ้างและแต่ละปัญหามีความสำคัญมากน้อยเพียงใดควรจะทำการแก้ไขปัญหาใดก่อนหรือหลัง
7 . ระบบสารสนเทศสำหรับผู้บริหารระดับสูง - มี เพราะระบบที่ใช้อยู่มีการสรุปผลจากทุกฝ่ายเพื่อช่วยในการวางแผนทางด้านการตั้งงบประมาณแต่ละปี
8 . ปัญญาประดิษฐ์ ระบบผู้เชี่ยวชาญและระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ -ไม่มี ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรมีโดยเฉพาะการวางตำแหน่งของอุปกรณ์ต่างๆในสต็อกอาจจะทำเป็นระบบ คล้ายๆการบอกเส้นทางแต่เป็นการบอกตำแหน่งของอุปกรณ์แทนซึ่งจะทำให้สามารถลดระยะเวลาในการค้นหาได้
9 . ระบบสารสนเทศเชิงกลยุทธ์ - มี เพราะมีการเปลี่ยนการทำงานที่ล่าช้าหรือมีความยุ่งยากให้มีความสะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น
10 . ระบบการวางแผนทรัพยากรในงานอุตสาหกรรม -ไม่มี เพราะยังไม่พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงระบบต่างๆที่อาจจะมีความยุ่งยากหรือซับซ้อนรวมทั้งปัญหาทางด้านบุคลากรที่ยังไม่มีความชำนาญ
11 . ระบบสารสนเทศในงานอุตสาหกรรม -มี เพราะในการทำสิ่งต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการซ่อมบำรุงมีการใช้โปรแกรมสำเร็จรูปหลายๆประเภทเข้ามาช่วย
12 . ระบบสำนักงานอัตโนมัติ -มี เพราะมีการแจ้งซ่อมอุปกรณ์โดยผ่านทางคอมพิวเตอร์ซึ่งทำให้ลดการใช้เอกสารที่เป็นกระดาษ

การใช้ประโยชน์จาก RFID ในห่วงโซ่อุปทานของยา

การใช้ประโยชน์จาก RFID ในห่วงโซ่อุปทานของยา

1. สาเหตุที่นำระบบ RFID มาใช้ เพราะมีปัญหาในอุตสาหกรรมยา ไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับยาล้นสต๊อกและยาที่เก็บจนหมดอายุ รวมไปถึงการป้องกันการปลอมแปลงและช่วยบริหารสต๊อกยาอีกด้วย โดยระบบ RFID นี้จะอำนวยความสะดวกสบายและเพิ่มความแม่นยำในการตรวจสอบข้อมูลและประวัติของยาที่ผลิตและจำหน่าย เป็นการลดต้นทุนและเพิ่มคุณภาพในการใช้ยาให้มีความปลอดภัย

2. ข้อดี-ข้อเสียของการนำ RFID มาใช้
ข้อดี
1. ทำให้เห็นของในสต๊อกได้ทั้งหมด รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน โดยระบบนี้สามารถตรวจจับยาได้ทุกภาชนะบรรจุไม่ว่าจะอยู่ตรงจุดไหนของโซ่อุปทานก็ตาม ทำให้ง่ายและเร็วต่อการจัดการในการตรวจสอบและขนส่ง
2. สามารถควบคุมการสูญหายและปกป้องชื่อเสียงของยี่ห้อผลิตภัณฑ์ คือสามารถตรวจสอบที่มาที่ไปและจำนวนของสินค้าได้ทุกจุดในโซ่อุปทาน
3. ความปลอดภัยในการใช้ผลิตภัณฑ์ยา การเรียกยาคืน และข้อกำหนดต่างๆ โดยระบบ RFID นี้สามารถตรวจสอบยาปลอมรวมทั้งล็อตของยาและวันหมดอายุ ซึ่งมีประโยชน์ในการบริหารการหมดอายุของยา และช่วยลดระยะเวลาในการค้นหาสินค้าที่ต้องการเรียกกลับคืนได้เป็นอย่างดี

ข้อเสีย
1.มีราคาแพงอาจไม่คุ้มทุนถ้าหากว่าธุรกิจมีขนาดไม่ใหญ่
2. การดูแลระบบอาจเป็นเรื่องที่ต้องใช้ความชำนาญเป็นพิเศษ
3.เป็นการเพิ่มภาระต้นทุนในการทำธุรกิจ

3.RFID สามารถนำไปใช้ในงานอื่นๆได้อีก เช่น นำไปใช้ในห้องสมุด
RFID at Library ขณะนี้ได้มีห้องสมุดของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งของไทยได้ลองนำเทคโนโลยี RFID มาใช้นำร่องกับระบบห้องสมุด เพียงติดชิพอาร์เอฟไอดีไว้ที่หนังสือในห้องสมุด แล้วใส่ข้อมูลต่างๆ ของหนังสือเล่มนั้นๆ ไว้ในชิพ อย่างเช่น ข้อมูลชื่อหนังสือ ประเภทหนังสือ ชั้นที่เก็บหนังสือ และติดเครื่องอ่านไว้ตามพื้นที่ต่างๆ ซึ่งการนำเอา RFID มาใช้กับระบบห้องสมุดนี้ โดย RFID จะช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้ดูแลและผู้ที่มาใช้บริการห้องสมุด ไม่ว่าจะเป็น การยืมหรือคืนหนังสือ ที่สามารถทำได้ในคราวเดียว ไม่ต้องมานั่งคีย์ข้อมูลของหนังสือแต่ละเล่มแบบทีละเล่ม หรือไม่ต้องมานั่งยิงบาร์โค้ดไปทีละเล่ม เมื่อผู้ใช้บริการเดินผ่านเครื่องอ่าน เครื่องจะรับส่งสัญญาณวิทยุกับตัวชิพที่ติดในหนังสือ เพิ่มความรวดเร็วในการยืม-คืน เมื่อนำมาใช้ร่วมกับระบบคอมพิวเตอร์ในห้องสมุด จะช่วยตรวจสอบให้ด้วยว่า หนังสือเล่มที่นักศึกษาต้องการได้ถูกยืมไปหรือยัง กับการใช้เพียงระบบคอมพิวเตอร์ในการสืบค้นข้อมูลแบบเก่า ถึงในฐานข้อมูลจะบอกไว้ว่าหนังสือเล่มนี้ๆ ยังไม่มีใครยืมไป ทว่าเมื่อเดินหายังชั้นหนังสือแล้วกลับปรากฏว่า หนังสือได้หายตัวไปเสียแล้ว แต่กับห้องสมุดที่นำ RFID มาใช้ เพียงเครื่องอ่านที่บริเวณชั้นหนังสือได้รับสัญญาณจาก
ชิพว่าหนังสือถูกเก็บไว้ผิดที่ผิดทาง ก็จะระบุออกมาได้ว่าหนังสือเล่มนี้ๆ ขณะนี้ไปปรากฏตัวที่ชั้นหนังสือนี้ๆ เป็นการป้องกันการซ่อนหนังสือห้องสมุด แม้แต่ปัญหาการขโมยหนังสือของห้องสมุดก็สามารถป้องกันได้ เพราะชิพที่ติดที่หนังสือนี้เมื่อเดินทางผ่านเข้ามาในบริเวณพื้นที่รัศมีการอ่านของเครื่องอ่าน ก็จะได้รับและส่งสัญญาณวิทยุคุยกับเครื่องทันที และด้วยความเป็นคลื่นวิทยุนี้จึงช่วยให้สามารถส่งสัญญาณทะลวงออกมาจากกระเป๋าที่จะใช้ซ่อนหนังสือได้

ระบบสารสนเทศเชิงกลยุทธ์

ข้อ 1. จงอธิบาย เปรียบเทียบ พร้อมยกตัวอย่างของไวรัส เวิร์ม และม้าโทรจันคำตอบ.คือ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่กระจายตัวเองเช่นเดี่ยวกับไวรัส โดยการแพร่กระจายจากคอมพิวเตอร์ สู่คอมพิวเตอร์เครื่องอื่น ๆ โดยผ่านอีเมล์และเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เมื่อผู้ใช้เปิดไฟล์อ่าน เวิร์มจะเริ่มทำงานโดยการคัดลอกตัวเองและส่งผลจากจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ไปยังเครื่องของคนอื่น ๆ ที่มีรายชื่ออยู่ใน E-mail เช่น “Nimda, “W32.Sobig”, W32.bugbeor” “W32.blaster” and “love bug” ซึ่งเป็นไฟล์ที่แนบมากับอีเมล์ที่กำหนดหัวเรื่องว่า “Love You”ม้าโทรจัน (Trojan torse) เป็นโปรแกรมรวมแต่แตกต่าง จากไวรัสและเวิร์มที่ ม้าโทรจัน จะไม่กระจายตัวเองไปยังคอมพิวเตอร์ เครื่องอื่น ๆ แต่ ม้าโทรจันจะแฝงอยู่กับโปรแกรมอื่น ๆ ที่อาจส่งผ่านมาทางอีเมล์ เช่น Ziped_filessexe. เมื่อมีการเรียกใช้ไฟล์ โปรแกรมก็จะลบไฟล์ที่อยู่ในฮาร์ดิสก์

ข้อ 2. สปายแวร์ (Spyware) คืออะไร และมีวิธีการติดตั้งในเครื่องคอมพิวเตอร์ได้อย่างไรคำตอบ.คือ ไวรัสที่เป็นไฟล์ภาพกราฟิก มีขนาดเล็กและซ่อนตัวอยู่ที่เว็บเพจ ที่รวบรวมข้อมูลและพฤติกรรมการท่องโลกอินเทอร์เน็ตของผู้ใช้ แล้วส่งข้อมูลเหล่านั้นกลับไปยังเครื่องเซิร์ฟเวอร์ และวิธีการติดตั้งของเครื่อง คอมพิวเตอร์ คือ การติดตั้งจากแผ่น Driver หรือ การดาว์นโหลดจากอินเทอร์เน็ตมา เช่น โปรแกรมAd-aware ,Spycop เป็นต้น

ข้อ 3. ท่านมีวิธีการหลีกเลี่ยงการเป็นเป้าหมายของสแปมเมลอย่างไรบ้าง
คำตอบ.3.1 เป็นการบล็อกสแปมเมล์ก่อนที่เมล์เหล่านั้นจะถูกส่งไปยังกล่องจดหมาย
3.2 การติดตั้งโปรแกรม แอนตี้สแปม (Aati-Spam Program) ที่ช่วยกรองและกำจัดสแปมเมล์ก่อนที่เมล์เหล่านั้นจะถูกส่งไปยังกล่องเมล์

ข้อ 4. ท่านคิดว่าปัญหาในเรื่องความปลอดภัยใดบ้างที่มีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นจากการใช้งานอินทราเน็ตและเอ็กซ์ทราเน็ตในองค์การธุรกิจ และจะมีวิธีป้องกันหรือแก้ไขปัญหานั้นอย่างไรบ้าง จงยกตัวอย่าง
คำตอบ.คือ ปัญหาในเรื่องอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นปัจจัยหลักในการเพิ่มความปลอดภัยให้มากขึ้นโดยป้องกันปัญหานั้น คือ ควรมีระบบตรวจสอบการเข้าใช้ เพื่อทำการอนุญาตการใช้ระบบนั้น เช่น การตรวจสอบเสียง ลายนิ้วมือ ฝ่ามอ ลายเซ็น และรูปหน้า เป็นต้น โดยอุปกรณ์จะทำการแปลงลักษณะส่วนบุคคลให้อยู่ในรูปของดิจิทัล แล้วทำการเปรียบเทียบกับข้อมูลใน คอมพิวเตอร์ ถ้าข้อมูลไม่ตรงกับคอมพิวเตอร์แม่ข่าย ก็จะปฏิเสธการเข้าสู่ระบบ

ข้อ 5. ท่านคิดว่าการทำสำเนาแผ่นซีดีเพลงเป็นการกระทำผิดจริยธรรมหรือไม่ เพราะเหตุใด และการดาวน์โหลดเพลงจากอินเทอร์เน็ตก็เช่นเดียวกัน ท่านมีความเห็นอย่างไร
คำตอบ.คือ การทำสำเนาแผ่นซีดีเพลงเป็นการกระทำที่ผิดจริยธรรม เพราะซีดีเพลงที่ได้มานั้น ไม่ได้มาโดยง่ายเลย และยังเป็นลิขสิทธิ์ ของค่ายเพลงนั้นๆ ด้วย และการดาวน์โหลดเพลงจากอินเทอร์เน็ต ถือว่าผิดจริยธรรมเหมือนกัน แต่ปัจจุบันเทคโนโลยีได้มีการพัฒนาสูง ดังนั้นการดาว์นโหลดเพลงจากอินเทอร์เน็ตถือว่าเป็นเรื่องปกติ

แบบฝึกหัดประจำสัปดาห์

ข้อที่ 1 ให้ยกตัวอย่างระบบงานอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับปัญญาประดิษฐ์โดยแยกตามลักษณะงานของปัญญาประดิษฐ์อย่างละ 1 ข้อหรือมากที่สุด (เท่าที่ทำได้)

ตอบ -ศาสตร์ด้านหุ่นยนต์ (Robotics)
หุ่นยนต์สุนัข AIBO ของ SONY ก็เป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมทีเดียว เนื่องจากเป็นหุ่นยนต์ที่มี
AIเลียนแบบพฤติกรรมของสุนัขได้เหมือน จนคิดว่าเป็นสุนัขจริงๆทีเดียว ข้อดีคือไม่ต้องยุ่งกับการ
อาบน้ำ ให้อาหาร
-ระบบผู้เชี่ยวชาญ (Expert System)
1 อุตสาหกรรมการผลิตภัณฑ์ ได้ใช้คอมพิวเตอร์ออกแบบ รถยนต์ ปฏิบัติการผลิต เช่น การพ่นสี การเชื่อมอุปกรณ์ต่างๆ เข้าด้วยกัน ฯลฯ
2 อุตสาหกรรมการพิมพ์ เช่นระบบการพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Publishing) ในการจัดเตรียมต้นฉบับบรรณาธิกรณ์ ตีพิมพ์ จัดเก็บ และจัดจำหน่าย และสามารถพิมพ์ข้อมูลจากระบบไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-mail) วีดีโอเท็กซ์ วัสดุย่อส่วนและเทเลเท็กซ์ได้รวมทั้งการพิมพ์ภาพโดยใช้เทอร์มินัลเสนอภาพ (Visual Display)


ข้อที่2 สมมุติว่าท่านเป็นผู้บริหารโรงงานอุตสาหกรรมแห่งหนึ่ง ท่านจะนำข้อมูลในเรื่องใดบ้างมาประกอบการตัดสินใจการบริหารของท่านบ้าง จงยกตัวอย่าง

ตอบ 1) ข้อมูลภายในองค์การ ได้แก่
1.1 ข้อมูลที่ได้จากกระบวนการดำเนินงาน เช่น การออกแบบ การควบคุมการผลิต
1.2 ข้อมูลที่แสดงให้เห็นถึงเป้าหมาย หรือผลการดำเนินงาน ตัวบ่งชี้ของการปฏิบัติงาน
(Key Performance Indicators : KPI)
2) ข้อมูลภายนอกองค์การ ซึ่งข้อมูลนี้มีเกี่ยวข้อง หรือมีผลกระทบต่อองค์การ เช่น การแข่งขัน
เศรธฐกิจ ความต้องการลูกค้า
3) ข่าวสารที่ใช้ติดต่อสือสารระหว่างกัน ควรเป็นข้อมูลที่สรุปได้ใจความ มีรูปแบบที่ง่ายต่อการเข้าใจ

ทันสมัยและทันต่อเหตุการณ์

อธิบายความหมาย และองค์ประกอบหลักของระบบสนับสนุนการตัดสินใจ

1. อธิบายความหมาย และองค์ประกอบหลักของระบบสนับสนุนการตัดสินใจ
ตอบ ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ (Decision Support System) เป็นระบบย่อยหนึ่งในระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ โดยที่ระบบสนับสนุนการตัดสินใจจะช่วยผู้บริหารในเรื่องการตัดสินใจในเหตุการณ์หรือกิจกรรมทางธุรกิจที่ไม่มีโครงสร้างแน่นอน หรือกึ่งโครงสร้าง ระบบสนับสนุนการตัดสินใจอาจจะใช้กับบุคคลเดียวหรือช่วยสนับสนุนการตัดสินใจเป็นกลุ่ม นอกจากนั้น ยังมีระบบสนับสนุนผู้บริหารเพื่อช่วยผู้บริหารในการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์
องค์ประกอบหลัก
1.ระบบย่อยในการจัดการข้อมูล (Data management subsystem) ได้แก่ฐานข้อมูลที่บรรจุข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์นั้นๆ และถูกจัดการโดยซอฟต์แวร์ที่เรียกว่า ระบบจัดการฐานข้อมูล (Database Management Systems : DBMS)
2.ระบบย่อยในการจัดการตัวแบบ (Model management subsystem) เป็นชุดซอฟต์แวร์สำเร็จรูปที่รวมการทำงานเช่น การทำงานด้านการเงิน, สถิติ, วิทยาการการจัดการ หรือตัวแบบเชิงปริมาณอื่นๆ ที่มีความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูล และมีซอฟต์แวร์ที่ช่วยในการจัดการที่เหมาะสม เรียกว่า ระบบจัดการ ฐานตัวแบบ (Model base management system : MBMS)
3.ระบบย่อยในการจัดการความรู้ (Knowledge management subsystem) เป็นระบบย่อยซึ่งสนับสนุนระบบย่อยอื่นๆ หรือเป็นส่วนประกอบแบบอิสระไม่ขึ้นกับองค์ประกอบอื่นๆ ช่วยให้ข้อมูลหรือความรู้แก่ ผู้ตัดสินใจ
4.ระบบย่อยในการติดต่อกับผู้ใช้ (User interface subsystem) ผู้ใช้สามารถติดต่อสื่อสารและสั่งงานระบบสนับสนุนการตัดสินใจโดยผ่านระบบย่อยนี้
2. ลักษณะและความสามารถของระบบสนับสนุนการตัดสินใจมีอะไรบ้าง จงอธิบาย
ตอบ ลักษณะและความสามารถของระบบสนับสนุนการตัดสินใจ
1. สามารถสนับสนุนการตัดสินใจทั้งในสถานการณ์ของปัญหาแบบกึ่งโครงสร้างและไม่มีโครงสร้าง
2. สามารถรองรับการใช้งานของผู้บริหารทุกระดับ
3. สามารถสนับสนุนการตัดสินใจแบบกลุ่ม และแบบเดี่ยว
4. สามารถสนับสนุนการตัดสินใจได้ทั้งปัญหาแบบเกี่ยวพันและ/หรือปัญหาต่อเนื่อง
5. สนับสนุนการตัดสินใจในขั้นตอนต่าง ๆ ของกระบวนการตัดสินใจได้
6. สนับสนุนกระบวนการและรูปแบบการตัดสินใจที่มีความหลากหลายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
7. มีความยืดหยุ่นสูง
8. ใช้งานง่าย
9. ในการพัฒนาจะเน้นหนักในการทำงานที่สำเร็จตามเป้าหมายมากกว่าค่าใช้จ่ายในการพัฒนาระบบ
10. มีหน้าที่สนับสนุนการตัดสินใจเท่านั้น ไม่ใช่ทำหน้าที่แทนผู้ตัดสินใจ
11. ระบบที่มีความซับซ้อน ควรขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น
12. เป็นระบบที่ใช้วิธีวิเคราะห์สถานการณ์การตัดสินใจด้วยแบบจำลองต่าง ๆ ระบบจึงต้องสามารถสร้างแบบจำลอง เพื่อทดสอบป้อนค่าตัวแปร และ
เปลี่ยนค่าไปเรื่อย ๆ เพื่อสร้างทางเลือกต่าง ๆ
13. สามารถเข้าถึงแหล่งเก็บข้อมูลได้หลากหลาย
3. ระบบสนับสนุนการตัดสินใจขั้นสูงมีความแตกต่างจากระบบผู้เชี่ยวชาญอย่างไร
ตอบ - ระบบสนับสนุนการตัดสินใจจะช่วยสนับสนุนการตัดสินใจของมนุษย์ ผู้ใช้ระบบทำการตัดสินใจเอง และป้อนข้อมูลฐานระบบขอบเขตกว้างและซับ
ซ้อน ไม่มีความสามารถในการให้เหตุผลและจำกัดความสามารถในการอธิบาย ส่วน
- ระบบผู้เชี่ยวชาญ มีวัตถุประสงค์ในการทดแทนคำแนะนำของในมนุษย์ มีระบบทำการตัดสินใจและระบบคำถามกับผู้ใช้ ขอบเขตแคบและเฉพาะ
เจาะจง มีความสามารถในการให้เหตุผลอย่างจำกัด และมีความสามารถในการอธิบาย

4. ระบบสนับสนุนการตัดสินใจกลุ่มมีประโยชน์ และแตกต่างจากระบบสนับสนุนส่วนบุคคลอย่างไร
ตอบ ระบบสนับสนุนการตัดสินใจกลุ่ม เป็นการตัดสินปัญหาบางส่วนในองค์การต้องอาศัยการตัดสินใจในรูปของคณะกรรมการกรือคณะทำงาน
ประโยชน์ของระบบสนับสนุนการตัดสินใจกลุ่ม
1. ช่วยเตรียมความพร้อมในการประชุม
2. อำนวยความสะดวกด้านการสื่อสารระหว่างสมาชิก
3. ส่งเสริมและสร้างบรรยากาศในการร่วมมือกัน
4. จัดเตรียมข้อมูลและสารสนเทศที่เหมาะสม
5. ช่วยจัดลำดับความสำคัญของปัญหา
6. อำนวยความสะดวกในการจัดทำเอกสารประกอบการประชุม
7. ช่วยประหยัดเวลาและสามารถลดจำนวนครั้งของการประชุมได้
- ส่วนระบบสนับสนุนการตัดสินใจส่วนบุคคลได้รับการออกแบบมาเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจของแต่ละบุคคล ซึ่งผู้ใช้สามาถปรับเปลี่ยนเงื่อนไขต่างๆได้
ด้วยตนเอง
5.ระบบสนับสนุนการตัดสินใจนำมาใช้ในธุรกิจต่างๆ ด้านล่างนี้ได้อย่างไร จงอธิบาย และยกตัวอย่างประกอบ
5.1 ธุรกิจโรงเรียน ในระดับการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ เชิงยุทธวิธี และเชิงปฏิบัติการ
5.2 ธุรกิจโรงพยาบาล ในระดับการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ เชิงยุทธวิธี และเชิงปฏิบัติการ
5.3 ธุรกิจผลิตรถยนต์ ในระดับการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ เชิงยุทธวิธี และเชิงปฏิบัติการ
5.4 ธุรกิจขายรถยนต์ ในระดับการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ เชิงยุทธวิธี และเชิงปฏิบัติการ
5.5 ธุรกิจโรงแรม ในระดับการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ เชิงยุทธวิธี และเชิงปฏิบัติการ
5.6 ธุรกิจผลิตน้ำแข็ง ในระดับการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ เชิงยุทธวิธี และเชิงปฏิบัติการ
5.7 ธุรกิจผลิตน้ำมัน ในระดับการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ เชิงยุทธวิธี และเชิงปฏิบัติการ
5.8 ธุรกิจผลิตเม็ดพลาสติก ในระดับการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ เชิงยุทธวิธี และเชิงปฏิบัติการ
ตอบ 5.1 การใช้โปรแกรมเครื่องมือในการออกเสียงเลือกประธานนักเรียน
5.2 การบันทึกประวัติผู้ป่วยออนไลท์
5.3 การออกแบบโครงสร้างรถยนต์ในแต่ละรุ่น
5.4 การสั่งซื้อ และสั่งจองรถยนต์ทาง Inter net
5.5 การจองที่พักและการคำนวณค่าใช้จ่าย
5.6 การควบคุมการผลิตโดยระบบคอมพิวเตอร์
5.7 การตรวจเช็คคุณภาพของน้ำมันจากกระบวนการผลิต
5.8 การตรวจสอบความต้องการเม็ดพลาสติกแต่ละชนิด

ตอบคำถามท้ายบทที่ 3

1. Instant Messaging (IM) คืออะไร สามารถสนับสนุนกระบวนการดำเนินธุรกิจได้อย่างไรบ้างและช่วยลดค่าใช้จ่ายโทรศัพท์ได้อย่างไร
ตอบ IM คือ โปรแกรมที่ใช้ในการสื่อสารและส่งข้อความในระหว่างเพื่อนหรือกลุ่มคนที่อยูในอินเทอร์เน็ต โดยรูปแบบจะคล้ายกับ E-mail โดยรูปแบบการส่งข้อมูลจะประกอบไปด้วยตัวหนังสือในการส่งแต่ละครั้ง แต่จะต่างกับ E-mail ตรงที่ คุณไม่ต้องนั่งรอเป็นชั่วโมงหรือวันๆ เพื่อรอการตอบกลับจากเพื่อนของคุณ เพราะข้อความที่คุณส่งไป จะส่งตรงไปหาเพื่อนของคุณ “ทันที” เหมือนกับการพูดคุยปกติ สามารถสนับสนุนกระบวนการดำเนินธุรกิจ ทางด้านการสั่งซื้อสินค้าโดยการสั่งสินค้าผ่านระบบ Instant Messaging (IM) จะช่วยลดค่าใช้จ่ายแทนการสั่งซื้อทางโทรศัพท์

2. E-Commerce แตกต่างจาก E-Bussiness อย่างไร
ตอบ E-Commerce เป็นส่วนหนึ่งของ E-Bussiness คือ E-Bussiness จะมีการดำเนินธุรกรรมทุกขั้นตอนผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ทั้งในส่วนหน้าร้าน (Front Office) และหลังร้าน (Back Office) ในขณะที่ E-Commerce จะทำการซื้อขายสินค้าหรือบริการผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์เท่านั้น

3. E-Commerce กับ M-Commerce ต่างกันหรือไม่ จงอธิบาย
ตอบ แตกต่างกัน เพราะ(E-Commerce) เป็นกระบวนการในการซื้อขาย แลกเปลี่ยนสินค้าหรือบริการต่างๆ ผ่านระบบเครือข่าย แต่ M-Commerce มาจาก Mobile-Commerce ก็คือ การทำธุรกรรรมผ่านทางโทรศัพท์มือถือ ซึ่งมีข้อได้เปรียบมากกว่า E-Commerce หลายอย่าง

4.จงอธิบายพร้อมยกตัวอย่างการทำธุรกิจแบบธุรกิจกับธุรกิจ (B2B), ธุรกิจกับลูกค้า (B2C), ธุรกิจกับภาครัฐ (B2G) และลูกค้ากับลูกค้า (C2C)
ตอบ - ธุรกิจกับธุรกิจ (B2B) เป็นการทำธุรกรรมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ระหว่างที่มุ้งเน้นให้บริการกับลูกค้าที่เป็นองค์การธุรกิจด้วยกัน เช่น ผู้ผลิต-ผู้ผลิต ผู้ผลิต-ผู้ส่งออก ผู้ผลิต-ผู้นำเข้า และผู้ผลิต-ผู้ค้าส่ง
- ธุรกิจกับลูกค้า (B2C) เป็นการทำธุรกรรมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ระหว่างผู้ขายที่เป็นองค์การธุรกิจกับผู้ซื้อหรือลูกค้าแต่ละคนอาจเป็นการค้าปลีกแบบล็อตใหญ่หรือเหมาโหล หรือแบบขายปลีกที่มีมูลค่าการซื้อขายสินค้าจำนวนไม่สูง เช่น ร้านหนังสือ ร้านดอกไม้ การจองตั๋วเครื่องบิน
- ธุรกิจกับภาครัฐ (B2G) เป็นการทำธุรกรรมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ระหว่างเอกชนกับภาครัฐ ได้แก่การประมูลออนไลน์ (E-Auction) และการจัดซื้อจัดจ้าง (E-Procurement)
- ลูกค้ากับลูกค้า (C2C) เป็นการทำธุรกรรมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ระหว่างผู้บริโภคด้วยกัน ซึ่งเป็นการแลกเปลี่ยนและซื้อ-ขายสินค้าอาจทำผ่าน Website เช่น การประมูลสินค้า ซึ่งผู้ค้าเอามาฝากไว้กับ website ที่ให้บริการ


5. จงยกตัวอย่างปัจจัยที่ทำให้พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ประสบความสำเร็จและล้มเหลวมาอย่างละ 5 ข้อ
ตอบ ปัจจัยที่ทำให้พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ประสบความสำเร็จ
1. กล้าตัดสินใจ ประการแรกที่ต้องทำคือ ค้นคว้าหาข้อมูล สร้างจินตนาการ กลั่นกรองความคิด หาช่องทางและโอกาสเมื่อมองเห็น จงกล้าตัดสินใจดำเนินการ
2. หน้าที่หลักของท่านคือ การคิดเรื่องการตลาด เมื่อตัดสินใจแล้วหน้าที่หลักคือ การวางแผนการตลาด คือจะขายให้ใคร ความต้องการและพฤติกรรมกลุ่มเป้าหมายนั้นเป็นอย่างไร จะวางตำแหน่งสินค้าอย่างไร จะต้องพัฒนาสินค้าอย่างไรเพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมายเหล่านั้น
3. โปรแกรมด้าน E-commerce มีความพร้อมให้ใช้งานอยู่แล้วสำหรับการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์นั้น มีให้ใช้โดยทั่วไปอยู่แล้ว เช่น www.ecombot.com ซึ่งมีระบบครบถ้วนสมบูรณ์อยู่แล้ว ทั้งหน้าร้าน หรือออกแบบเว็บเพจให้มี ระบบออนไลน์แคตาล็อค ระบบตระกร้า หรือ Shopping Cart ระบบรับชำระเงินผ่านบัตรเครดิตแบบ Real-time ระบบติดตามผลการขาย ระบบออกรายงานขาย ระบบลงทะเบียน Search Engines
4. ใช้งบประมาณลงทุนน้อย เงินลงทุนที่ใช้เพียงค่าสมาชิกอินเทอร์เน็ต คอมพิวเตอร์ โมเด็ม และค่าโปรแกรม
5. เร่งงานให้เสร็จตามกำหนด เวลา ในการลงมือทำงานแล้ว สิ่งสำคัญต้องเร่งทำเดินงานให้เสร็จทันตามเวลา
ปัจจัยที่ทำให้พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ประสบความล้มเหลว
1. การลอกเลียนแบบ เป็นการทำธุรกิจตามคนอื่นที่ทำอยู่ก่อนแล้ว เห็นทำเว็บก็ทำตาม
2. การอยู่กับความฝัน เป็นการอาศัยแนวความคิดแต่ไม่ได้ลงมือปฏิบัติให้เห็นจริง หรือทำครึ่ง ๆ กลาง ๆ
3. ทำเว็บไซต์ที่วิจิตรสวยงาม การทำเว็บไซต์ให้สวยงาม เน้นความเลิศหรู จนลืมแก่นแท้ของความต้องการผู้ใช้เว็บหรือกลุ่มเป้าหมายไป
4. ทำเว็บไซต์แบบไร้ทิศทางการทำเว็บไซต์ที่นึกอะไรได้ก็ทำไปเรื่อยเปื่อย ไม่ได้นึกถึงความเชื่อมโยงหรือความสัมพันธ์กัน
5. ไม่มีระบบสนับสนุนพื้นฐานที่เพียงพอการไม่มีระบบสนับสนุนพื้นฐานที่เพียงพอ

6. Internet ส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างผู้ผลิตหรือซัพพลายเออร์กับลูกค้าอย่างไรบ้าง
ตอบ เป็นชุมชนอิเล็กทรอนิกส์ขนาดใหญ่ที่สุดในโลกที่มีทั้ง ผู้ซื้อ ผู้ขาย ผู้ผลิตหรือซัพพลายเออร์ เข้าออกแล้วค้นหาสินค้าและบริการตลอดเวลา จึงเป็นแหล่งที่เอื้ออำนวยต่อการประกอบธุรกิจ Internet จึงเป็นเหมือนจุดศูนย์การในการทำธุรกิจของโลกปัจจุบันมาก

7. Internet มีประโยชน์ต่อการให้บริการลูกค้าอย่างไรบ้าง
ตอบ มีหน้าที่ให้บริการต่าง ๆ กับลูกค้าตั้งแต่การค้นข้อมูลของ สินค้าและบริการ การสั่งซื้อ หรือแม้แต่การชำระเงินก็สามารถทำได้สะดวก สินค้าและบริการบ้างอย่างก็จะมีการให้บริการหลังการขายผ่านทาง Internet ด้วย

8. ในยุคความเจริญของ internet ความเร็วสูง การจำหน่าย softeware ในรูปแบบของ CD-Rom น่าจะลดน้อยลงและได้รับความนิยมน้อยกว่าการจำหน่ายโดยวิธีการ download ผ่านทาง internet แต่ในปัจจุบันกลับไม่เป็นเช่นนั้น การจำหน่าย software ในรูปของ CD-Rom ยังคงได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ท่านคิดว่าเป็นเพราะเหตุผลใด
ตอบ เป็นความไม่มั่นใจของ File ที่ Download มาแล้วนั้นจะไม่สมบูรณ์แล้วต้องทำการ Download ใหม่เป็นการเสียเวลาจึงทำให้ส่วนใหญ่ CD-Rom ยังเป็นที่นิยมของการจำหน่าย Software ในปัจจุบันนี้ เพราะการติดตั้ง software โดยผ่าน CD-ROM น่าจะช่วยลดปัญหาไวรัสเข้าสู่ระบบ Computer มากกว่าการ Download ผ่านทาง Internet

9.จงยกตัวอย่างของธุรกิจที่ทำการค้าแบบ E-Commerce มา 1 ธุรกิจ
ตอบ การขายโทรศัพท์มือถือผ่านทาง E-Commerce


ขายสินค้า

http://www.tarad.com/ttk2552

ระบบ SAND

SAN คืออะไรและมีประโยชน์อย่างไร?
SAN สามารถให้ความยืดหยุ่นในการบริการจัดการกับระบบ รวมทั้งการจัด Configuration ซึ่งในที่นี้หมายถึง ความยืดหยุ่นสูงในการกำหนด ขนาดหรือลดขนาดการบรรจุเก็บข้อมูลข่าวสารของระบบ ท่านสามารถเพิ่มหรือลดจำนวนของเซิร์ฟเวอร์หรืออุปกรณ์จัดเก็บได้เต็มที่ โดยไม่กระทบต่อประสิทธิภาพการทำงานของ SAN นอกจากนี้ภายใต้ระบบ SAN สามารถมีเซิร์ฟเวอร์หลาย ๆ ตัว หรือเป็นจำนวนมาก ที่สามารถเข้ามา Access ใช้งานในกลุ่มของอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล ที่ดูแลภายใต้ SAN ได้อย่างมีประสิทธิภาพ SAN ให้ความสะดวกแก่ท่านในการจัดรูปแบบของการวางอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล รวมทั้งการมุ่งเน้นเรื่องของการเชื่อมต่อ ประสิทธิภาพ ความน่าเชื่อถือ อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือทั้ง 3 อย่างนี้ SAN สามารถแก้หรือลดปัญหาความล่าช้าที่มาจากการตอบสนองการร้องขอข้อมูลจากไคลเอนต์บนเครือข่ายได้เป็นอย่างมาก ช่วยให้ไคลเอนต์บนเครือข่ายได้รับข้อมูลจากอุปกรณ์จัดเก็บในปริมาณสูงต่อครั้ง ช่วยลดเวลาการประมวลผลของไคลเอนต์ รวมทั้งให้การสนับสนุนการทำ Backup ข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังสามารถทำสำรองข้อมูลที่อยู่ห่างไกลจากศูนย์ข้อมูลได้จำนวนมากด้วยขนาดที่ไม่จำกัดระยะทาง ด้วยการเชื่อมต่อทางสายใยแก้วนำแสงจะช่วยให้ท่านสามารถวางแผนการทำสำรองข้อมูล หรือโยกย้ายถ่ายเทข้อมูลจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งที่อยู่ห่างไกลกันมาก ในกรณีที่เกิดปัญหาทางภัยจากธรรมชาติ เนื่องจาก SAN มิใช่ระบบฮาร์ดแวร์โดยตรง แต่เป็นระบบควบคุมดูแลการจัดเก็บข้อมูลที่ไม่ไปยุ่งกับการจัด Configure ของระบบแลน ดังนั้นมันจึงให้การสนับสนุนระบบปฏิบัติการทุกประเภท ทุกแบบ และสามารถให้บริการ ไม่เกี่ยงแม้กระทั่งเครื่องคอมพิวเตอร์ธรรมดาบนระบบแลนไปจนถึงเครื่องคอมพิวเตอร์ในระดับเมนเฟรม

กรณีศึกษาที่1 : การใช้เครือข่ายไร้สายของบริษัทเฮิร์ตซ์

ตอบข้อที่1
- บลูทูธ และมีการใช้ EDI ในการพิมพ์ใบเสร็จ
แอปพลิเคชันที่มุ่งเน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลางคือ GPRS , PDA
ตอบข้อที่2
ประโยชน์ที่เฮิร์ตได้รับ คือ
- สามารถรู้ว่ารถของบริษัทอยู่ตำแหน่งใด
- ป้องกันการขโมยรถ และสูญหาย
- เป็นการสร้างความปลอดภัย และสร้างความเชื่อมั่นให้แก่บริษัทของตนเอง
- ทำให้ลูกค้ารู้สึกมีความปลอดภัย หากบริษัทจะสอดส่องดูแลความเคลื่อนไหว
ในฐานะเป็นลูกค้า
- ไม่มีความเป็นส่วนตัว
- เหมือนผู้เช่าไม่ไว้ใจลูกค้าว่าอาจจะขโมยรถ
- แต่ถ้าเราขับรถได้ตามความเร็วที่บริษัทจำกัด ก็จะได้รับส่วนลด

การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการบริหารงานร้านไอศครีม lberry

ตอบคำถามข้อ1
1ด้านการสั่งซ้อวัตถุดิบที่ขาดแคลน ในการนี้ที่ร้าน ใช้ระบบ It จึงมีความจำเป็น ในด้านการสั่งซื้อของโดยตรงจาก สำนักงานใหญ่ หรือสาขาที่มีความรับผิดชอบในเรื่องการจัดส่งวัตถุดิบเข้าร้านไอศครีม Iberry
2 การบริการด้านการส่งไอศครีม Iberryทางร้านอาจจะใช้การสั่งซื้อ ผ่านระบบเครือข่าย Internet หรือ ระบบ Network แล้วในการส่งก็ต้องใช้ความชำนาญทางร้านไอศครีม ก็อาจจะ ใช้ ระบบ GPRS เข้ามาช่วยในระบบการส่งไอศครีม ให้กับผู้ที่สั่งซื้อ
ตอบคำถามข้อ2
1 ในด้านการขาย ทางร้านอาจจะนำระบบ อินเทอร์เน็ต ในการทำ WWW. ของกิจการร้านเพื่อทำให้ ผู้บริโภคได้รู้จัก ร้านไอศครีม Iberry มากยิ่งขึ้น
2. การจัดส่ง เนื่องด้วยเป็นร้านไอศครีมการจัดส่งในแต่ละครั้ง จึงควรต้องมีความรวดเร็วในการจัดส่งไอศรีม ทางร้านจึงอาจจะนำระบบ GPRS เข้ามาช่วยระบบตำแหน่งที่จัดส่งอย่างแม่นยำ และจะช่วยลดเวลาในการหา ตำแหน่งที่จัดส่ง อีกด้วย
ตอบคำถามข้อ3
แนวคิดนี้สามารถประยุกต์ใช้กับธุรกิจ ร้านขายไม้ดอกและไม้ประดับ
1. ใช้ระบบเซนเซอร์ตรวจวัดอุณหภูมิอากาศ และควบคุมระบบการปล่อยน้ำลดต้นไม้
2. นำเอาระบบโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ด้วยระบบ Network Camera เข้ามาใช้ภายในร้าน ทำให้สามารถบันทึกภาพและเหตุการณ์ภายในร้านได้ตลอดเวลา และทราบถึง สภาพของต้นไม้ ที่เราเลี้ยงไว้ขายอีกด้วย
3. ใช้ระบบ Internet เข้ามามีบทบาทในการโปรโมทร้าน เพื่อทำให้บุคคล หรือผู้ที่สนใจ ได้รู้จัก ร้านขายไม้ดอกไม้ประดับ ดีมากยิ่งขึ้น และเขียน Forum เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ ความสนใจ ในพันธ์ ไม้ ต่างๆ ในแวดวงธุรกิจเดียวกัน3.4 ใช้ระบบ เครื่องข่าย Network หรือ Internet ในการสั่งซื้อหรือจัดจำหน่าย และใช้ระบบ GPRS เพื่อเป็นการซัพพอตในการจัดส่งสำหรับผู้ใช้งาน
สมาชิกในกลุ่ม
น.ส.ชณัญชิดา เนมียวงศ์ รหัส 51243269004
น.ส.ปัณษิญา สกุลพิทักษ์ รหัส 51243269022
นาย ศิริศักดิ์ อินทรพาณิชย์ รหัส 51243269035

ความหมายของ Bloggerและประโยชน์

ความหมายของคำว่า Blog
ก็คือการบันทึกบทความของตนเอง (Personal Journal) ลงบนเว็บไซต์ โดยเนื้อหาของ blog นั้นจะครอบคลุมได้ทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวส่วนตัว หรือเป็นบทความเฉพาะด้านต่าง ๆ เช่น เรื่องการเมือง เรื่องกล้องถ่ายรูป เรื่องกีฬา เรื่องธุรกิจ เป็นต้น โดยจุดเด่นที่ทำให้บล็อกเป็นที่นิยมก็คือ ผู้เขียนบล็อก จะมีการแสดงความคิดเห็นของตนเอง ใส่ลงไปในบทความนั้น ๆ โดยบล็อกบางแห่ง จะมีอิทธิพลในการโน้มน้าวจิตใจผู้อ่านสูงมาก แต่ในขณะเดียวกัน บางบล็อกก็จะเขียนขึ้นมาเพื่อให้อ่านกันในกลุ่มเฉพาะ เช่นกลุ่มเพื่อน ๆ หรือครอบครัวตนเอง
มีหลายครั้งที่เกิดความเข้าใจกันผิดว่า Blog เป็นได้แค่ไดอารี่ออนไลน์ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไดอารี่ออนไลน์เปรียบเสมือน เนื้อหาประเภทหนึ่งของบล็อกเท่านั้น เพราะบล็อกมีเนื้อหาที่หลากหลายประเภท ตั้งแต่การบันทึกเรื่องส่วนตัวอย่างเช่นไดอารี่ หรือการบันทึกบทความที่ผู้เขียนบล็อกสนใจในด้านอื่นด้วย ที่เห็นชัดเจนคือ เนื้อหาบล็อกประเภท วิจารณ์การเมือง หรือการรีวิวผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ตัวเองเคยใช้ หรือซื้อมานั่นเอง อีกทั้งยังสามารถ แตกแขนงไปในเนื้อหาในประเภทต่าง ๆ อีกมากมาย ตามแต่ความถนัดของเจ้าของบล็อก ซึ่งมักจะเขียนบทความเรื่องที่ตนเองถนัด หรือสนใจเป็นต้น
จุดเด่นที่สุดของ Blog ก็คือ มันสามารถเป็นเครื่องมือสื่อสารชนิดหนึ่ง ที่สามารถสื่อถึงความเป็นกันเองระหว่างผู้เขียนบล็อก และผู้อ่านบล็อกที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย ที่ชัดเจนของบล็อกนั้น ๆ ผ่านทางระบบ comment ของบล็อกนั่นเอง
สรุปให้ง่าย ๆ สั้น ๆ ก็คือ Blog คือเว็บไซต์ ที่มีรูปแบบเนื้อหา เป็นเหมือนบันทึกส่วนตัวออนไลน์ มีส่วนของการ comments และก็จะมี link ไปยังเว็บอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องอีกด้วย
ประโยชน์ของ web blog
Blog มีไว้เพื่อตอบสนองตัณหาของเจ้าของ blog ถึงแม้ว่า blog จะมีลักษณะหน้าตาคล้ายกัน แต่ blog แต่ละแห่งจะมีบุคลิกเฉพาะตัว แตกต่างกันไปเหมือนบุคลิก บาง blog แค่เล่าเรื่องชีวิตประจำวัน บาง blog เกาะติดข่าว บาง blog คุยเรื่องการเมืองหรือปรัชญา จงนั้นอาจแบ่งประโยชน์ได้หลายแบบด้วยกัน ซึ่งอาจจะแจกแจงได้ดังนี้
1.เปิดตัวเองให้โลกรู้ เรื่องของ blog มักเป็นเรื่องราวของเจ้าของ blog เป็นการเล่าประสบการณ์หรือความคิดของเจ้าของ เป็นการถ่ายทอดความคิดความรู้สึกของเจ้าของ blog เป็นการระบายความเคลียดอีกทางหนึ่ง
2.ทันข่าวทันเหตุการณ์ ประสบการณ์บางคนก็เป็นข่าวเห็นอีกหลายคนได้ ข่าวจาก blog หลายแห่งเป็นข่าววงใน บางคนเล่าเหตุการณ์หรืออุบัติเหตุที่เจอมา หลาย blog พูดถึงแนวโน้มหรือความเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ
3. กลั่นกรองข้อมูล blog บาง blog จะมีการกลั่นกรองข้อมูลก่อนนำลง blog ทำให้ผู้อ่าน blog ไม่ต้องเสียเวลาในการกลั่นกรองข้อมูล เพราะมีการนำเสนอข้อมูลหรือมีไกด์ในการท่องเว็บ
4. รายงานการท่องเว็บ เป็นวัตถุประสงค์หลักที่เป็นต้นกำเนิดของการทำ blog หลาย blog มีการลิงก์ไปยังเว็บที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาใน blog ซึ่งเป็นการแนะนำว่าเว็บไหนดีก็ไปที่เว็บนั้น
5. การแสดงความคิดเห็น ไม่ว่าจะเป็นความในใจของเรื่องต่างๆ ความคิดเชิงสร้างสรรค์ หรือการบ่นที่ทุกคนมีอยู่ในใจ การทำ blog เป็นช่องทางถ่ายทอดความคิดเห็นให้คนอื่นรับรู้
6. ถ่ายทอดประสบการณ์ หรือไดอะรี่ออนไลน์ เป็นการถ่ายทอดเรื่องราวในชีวิตประจำวัน หรือเป็นการเล่าเรื่องการเดินทางท่องเที่ยว เช่น www.terrystrek.com
7. โน้มน้าวใจผู้อ่าน ลักษณะนี้เป็นการโฆษณาชวนเชื่อ แต่กรณีแบบนี้เป็นการขายความคิด อย่าง blog สำหรับคอการเมืองอาจจะมีฝ่ายซ้าย - ฝ่ายขวา,สายเหยี่ยว ­- สายพิราบ จะพบว่าเนื้อหาจะเป็นการโพสต์โจมตีฝ่ายตรงข้าม แล้วก็สนับสนุนแนวความคิดของตนเอง

ปัญญาประดิษฐ์ ระบบผู้เชี่ยวชาญ และระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์

ปัญญาประดิษฐ์ ระบบผู้เชี่ยวชาญ และระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์

วันเสาร์, มิถุนายน 27, 2009ปัญญาประดิษฐ์ ระบบผู้เชี่ยวชาญ และระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์

ปัญญาประดิษฐ์ (AI) คือ เครื่องจักรอัจฉริยะที่สร้างจากความรู้ทางด้าน วิทยาศาสตร์ และวิศวกรรมศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความฉลาดทางด้านโปรแกรมคอมพิวเตอร์ซึ่งเป็นในลักษณะการใช้คอมพิวเตอร์ ให้เรียนรู้และเข้าใจความสามารถของมนุษย์ แต่ปัญญาประดิษฐ์ ไม่ได้ถูกจำกัดด้วยข้อสังเกตเกี่ยวกับทางด้าน ชีววิทยา ส่วนความฉลาด (Intelligent) คือ ความคิดคำนวณ เพื่อให้สามารถบรรลุได้สู่เป้าหมาย ซึ่งสามารถพบได้ใน คน สัตว์ และเครื่องจักรบางชนิด เราไม่สามารถกำหนดรูปแบบมาตรฐาน ของรูปแบบการคำนวณได้อย่างชัดเจนว่า เป็นความฉลาดหรือไม่ เพียงแต่เราจะเข้าใจเพียงบางส่วนเท่านั้น ซึ่งรูปแบบการประมวลในลักษณะใช่หรือไม่ใช่นั้น ไม่จัดว่าเป็นปัญญาประดิษฐ์ เพราะปัญญาประดิษฐ์ จะสามารถค้นพบวิธีในการแก้ไขปัญหานั้นด้วยตนเอง ซึ่งโปรแกรมที่มีประสิทธิภาพสูงๆ เราจะโปรแกรมที่มีประสิทธิภาพสูงๆ เราจะโปรแกรมนั้นเพียงแค่ “บางส่วนของความฉลาดเท่านั้น” และสำหรับการมองปัญญาประดิษฐ์ว่าเป็น “แบบจำลองความฉลาดของมนุษย์” เราก็สามารถมองได้ แต่ความหมายนี้จะเป็นแค่เพียงส่วนหนึ่งของปัญญาประดิษฐ์ เท่านั้น ซึ่งไม่ใช่ความหมายที่แท้จริง การทำงานบางอย่างของปัญญาประดิษฐ์ นั้นบางครั้งไม่สามารถทำได้ดีกว่ามนุษย์ หรือสัตว์ซะอีก รูปแบบการแก้ปัญหาของปัญญาประดิษฐ์ ไม่สามารถวัดเป็นค่าได้ด้วย IQ. (Import Quota) ได้เนื่องจาก IQ. เป็นค่าที่วัดได้จากอัตราส่วนระหว่างอายุกับเด็ก เพื่อตรวจสอบถึงความฉลาดของเด็กต่ออายุ เพื่อดูความเหมาะสมของการเจริญเติบโตเพื่อใช้เป็นค่าเปรียบเทียบในการวัดถึงความประสบความสำเร็จในการดำรงชีวิต ซึ่งเมื่อนำมาใช้ในการวัดเกณฑ์กับคอมพิวเตอร์ไม่ได้เนื่องจากรูปแบบในการดำเนินการไม่เหมือนกัน รูปแบบการเปรียบเทียบของ Arthur R. Jensen [Jen98] หัวหน้าส่วนการวิจัย ความฉลาดของมนุษย์ สำเร็จในเรื่อง “การสมมติเพื่อให้เกิดการเรียนรู้” ซึ่งธรรมดาจะมีความสามารถเท่าเทียมกัน แต่จะแตกต่างกันเนื่องจากคุณสมบัติ ทางชีววิทยาและกายภาพ โปรแกรมคอมพิวเตอร์มีคุณสมบัติทางด้านความเร็ว และหน่วยความจำที่มีจำนวนมาก ซึ่งความสามารถของโปรแกรมจะมากหรือน้อยนั้นขึ้นอยู่กับความสามารถของโปรแกรมเมอร์ว่ามีแนวคิดในการออกแบบมากน้อยเพียงใด ซึ่งแนวคิดที่ซับซ้อนนี้จะเกิดได้เมื่อมีวัยวุฒิในระดับหนึ่งแล้ว และเมื่อใดที่มนุษย์สามารถทำอะไรได้มากกว่าคอมพิวเตอร์ แสดงว่าโปรแกรมดีไซน์เนอร์ เกิดความขาดแคลน ความรู้ความเข้าใจในการสร้างงานนั้นๆ



ความเป็นมาของปัญญาประดิษฐ์

งานวิจัยด้านปัญญาประดิษฐ์ เกิดขึ้นหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 มีจำนวนประชากรทำงานด้วย เครื่องจักรกลอัจฉริยะก็มีเพิ่มมากขึ้น นักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษชื่อ Alan Turing เป็นคนแรกทีเริ่มแนวคิด แรกเริ่มทำการบรรยาย ในปี 1947 โดยมีความคิดว่า ปัญญาประดิษฐ์คือทางที่ดีที่สุด สำหรับการโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ในปี 1950 งานวิจัยที่เกี่ยวกับ ปัญญาประดิษฐ์ ได้เพิ่มขึ้นยากมาย โดยอ้างอิงพื้นฐานบนคอมพิวเตอร์ โปรแกรมมิ่ง ซึ่งการทำเช่นนี้จึงทำให้เกิดคำถามว่า ปัญญาประดิษฐ์จะนำความเป็นมนุษย์ให้คอมพิวเตอร์หรือ ซึ่งควรจะเป็นไปได้ยาก เนื่องจากมนุษย์มีความหลากหลาย อยู่มากนัก ในปี 1950 เค้า ได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับความฉลาดของเครื่องกล โดยเขากล่าวว่า ถ้าหากเครื่องที่เลียนแบบความฉลาดของมนุษย์ก็ให้ถือว่าเป็น ปัญญาประดิษฐ์ความฉลาดแล้ว ซึ่งเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป แต่ก็ยังมีนักปรัชญา บางคนที่ไม่ยอมรับข้อคิดเห็นดังกล่าว ซึ่งรูปแบบ Turing Test นี้เป็นการทดลองเพียงด้านเดียว คือ เครื่องกลที่การทดสอบแล้วถือว่ามีความฉลาดแล้ว แต่เครื่องกลก็ยังเรียนรู้ได้ไม่เพียงพอกับความต้องการของมนุษย์ได้ทั้งหมด หนังสือ Brain Children ของ Daniel Dennelt ได้บรรยายเกี่ยวกับ Turing Test ได้ดีมาก และบางส่วนได้มีการพัฒนาให้เพิ่มมากขึ้น
วัตถุประสงค์ ของปัญญาประดิษฐ์ คือ ให้สามารถทำงานได้เทียบเท่ากับระดับสติปัญญาของมนุษย์ โดยสามารถแก้ปัญหาได้ดีเท่ากับหรือมากกว่ามนุษย์ได้ โดยการเขียนโปรแกรมที่มีความซับซ้อน ซึ่งภาษาถูกใช้ เพื่อจำกัด ความฉลาด ซึ่งปัญญาประดิษฐ์ข้อมูลจะเข้าใจได้ก็ต่อเมื่อมนุษย์มีวุฒิกาวะในระดับหนึ่งแล้ว หลายหัวข้อเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ สามารถจำลองได้ในคอมพิวเตอร์ เมื่อการทำงานเพิ่มมากขี้นความเร็วของซีพียู จะเพียงพอหรือไม่ สามารถสรุปได้ว่าเทคโนโลยีความเร็วของซีพียู ณ. เวลานั้นๆ จะสามารถรองรับการทำงานของโปรแกรมที่สร้างขึ้น ณ. เวลานั้นๆ ได้เมื่อต้องการเพิ่มความเร็วก็สามารถทำได้อีกวิธีหนึ่ง คือ การทำ Parallel Processing ซึ่งจะทำให้ประสิทธิภาพดีขึ้นได้
Child Machine สามารถสร้างให้เรียนรู้ประสบการณด้วยตัวเองได้หรือไม่ ซึ่งเริ่มแนวคิดตั้งแต่ 1940 อย่างไรก็ตามโปรแกรมปัญญาประดิษฐ์ ก็ยังไม่สามารถรับรูปแบบ การเรียนรู้แบบเด็กๆ ได้ แต่ปัญญาประดิษฐ์ สามารถเรียนรู้และพัฒนาระดับความสามารถของตนเองได้ Alexander Kronrod นักวิจัยปัญญาประดิษฐ์ ชาวรัสเซีย กล่าวว่า ”หมากรุก คือแมลงที่ทดลองด้านปัญญาประดิษฐ์” เค้าใช้ แมลงวันผลไม้ เพื่อศึกษาคุณสมบัติการถ่ายทอด การเล่นหมากรุก ต้องใช้กลไกด้านสติปัญญา ถ้ามีการศึกษาที่ดีจะทำให้สามารถพัฒนา เล่นให้ดีขึ้นได้ สำหรับเกม โกะ คือเกมที่นิยมเล่นกัน ในจีน และญี่ปุ่น มีรูปแบบการเล่นคล้ายกับหมากรุก คือ มีบอร์ด และตัวเดิน- เกม Go ที่เล่นกันมากในประเทศจีนและญี่ปุ่น เป็นเกมที่เผยให้เห็นถึงจุดด้อยเกี่ยวกับสติปัญญาในการเล่นเกมของมนุษย์ในปี ค.ศ. 1930 นักคณิตศาสตร์ ได้กล่าวไว้ว่าไม่มี Algorithm ใดที่ปรากฏออกมาให้เห็นว่าสามารถแก้ปัญหาของขอบข่ายทางคณิตศาสตร์ได้ จึงสรุปได้ว่า เมื่อมนุษย์เราใช้หลักการทางคณิตศาสตร์อยู่ตลอดทำให้เห็นว่าคอมพิวเตอร์ทำแบบคนไม่ได้ปี ค.ศ. 1960 นักคอมพิวเตอร์ได้พัฒนาทฤษฎีของ NP-complete problem domain ปัญหาเช่นนี้สามารถแก้ได้หมดแต่ใช้เวลา

ลักษณะงานของปัญญาประดิษฐ์


1. Cognitive Science
งานด้านนี้เน้นงานวิจัยเพื่อศึกษาว่าสมองของมนุษย์ทำงานอย่างไร และมนุษย์คิดและเรียนรู้อย่างไร จึงมีพื้นฐานที่การประมวลผลสารสนเทศในรูปแบบของมนุษย์ประกอบด้วยระบบต่างๆ
- ระบบผู้เชี่ยวชาญ (Expert Systems) ระบบนี้จะพยายามลอกเลียนแบบความสามารถของผู้เชียวชาญที่เป็นมนุษย์ในการแก้ปัญหาต่างๆ
- ระบบเครือข่ายนิวรอน (Neural Network) ถูกออกแบบให้เลียนแบบการทำงานของสมองมนุษย์ ทั้งในส่วนของฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
- ระบบแบ๊บแน็ต (Pap net) เป็นระบบที่ใช้ในการแยกความแตกต่าง เช่น แยกความแตกต่างของเซลล์มนุษย์
- ฟัสซี่โลจิก (Fuzzy Logic) เป็นระบบที่เกี่ยวข้องกับการใช้กฎพื้นฐาน และสามารถทำงานกับข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์ หรือกำกวม หรือค่าไม่เที่ยงตรง หรือไม่แน่นอนได้ ซึ่งระบบจะพยายามหาคำตอบให้กับปัญหาที่ไม่มีโครงสร้าง ด้ายการพิจารณากาข้อมูลเท่าที่มีเท่านั้น ระบบนี้ใช้วิธีการหาคำตอบได้แบบมนุษย์มากกว่าระบบงานทั่วไปซึ่งใช้เพียงประโยคเงื่อนไขธรรมดา
- เจนเนติกอัลกอริทึม (Genetic Algorithm) หรืออัลกอริทึมพันธุกรรม ใช้หลักการด้านพันธุกรรมของชาร์ล ดาร์วิน การสุ่ม และฟังก์ชันทางคณิตศาสตร์ในการสร้างกระบวนการวิวัฒนาการด้วยตนเองของระบบในการหาคำตอบที่ดียิ่งขึ้นโดยใช้แนวทางการแก้ปัญหาแนวเดียวกับที่สิ่งมีชีวิตปรับตัวเองให้เข้ากับสภาพแวดล้อม
- เอเยนต์ชาญฉลาด (Intelligent Agents) ใช้ระบบผู้เชี่ยวชาญหรือเทคนิคของปัญญาประดิษฐ์อื่นๆ เพื่อพัฒนาเป็นโปรแกรมประยุกต์ให้กับผู้ใช้ปลายทาง
- ระบบการเรียนรู้ (Learning Systems) เป็นระบบที่สามารถพัฒนาพฤติกรรมของระบบเองด้วยการพัฒนาจากข้อมูลที่ระบบได้รับในระหว่างการประมวลผล
2. Robotics
พื้นฐานของวิศวกรรมและสรีรศาสตร์ เป็นการพยายามสร้างหุ่นยนต์ไห้มีความฉลาดและถูกควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์แต่สามารถเครื่องไหวได้เหมือนกับมนุษย์
3. Natural Interface
งานด้านนี้ได้ชื่อว่าเป็นงานหลักที่สำคัญที่สุดของปัญญาประดิษฐ์ และพัฒนาบนพื้นฐานของภาษาศาสตร์ จิตวิทยา และวิทยาการคอมพิวเตอร์
- ระบบที่มีความสามารถในการเข้าใจภาษามนุษย์ (Natural Language) รวมเทคนิคของการจดจำคำพูดและเสียงของผู้ใช้งาน ทำให้มนุษย์สามารถพูดหรือสั่งงานกับคอมพิวเตอร์หรือหุ่นยนต์ได้ด้วยภาษามนุษย์
- ระบบภาพเสมือนจริง (Virtual Reality) เป็นการสร้างภาพเสมือนจริงหรือภาพจำลองของเหตุการณ์โดยระบบคอมพิวเตอร์ มีการติดตั้งตัวเซ็นเซอร์ต่างๆไว้กับอุปกรณ์ที่ใช้เป็นอินพุต/เอาท์พุต เพื่อใช้ตรวจจับความเคลื่อนไหวของผู้ใช้งาน ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้งานได้เข้าถึงโลกของภาพเสมือนจริงแบบ 3 มิติ เช่น การสร้างเกมคอมพิวเตอร์แบบ 3 มิติ

ระบบปัญญาประดิษฐ์แบบผสมผสาน (Hybrid AI Systems)


เป็นการนำเอาระบบต่างๆ หรือเทคนิคต่างๆ ของปัญญาประดิษฐ์ที่กล่าวข้างต้นมาบูรณาการเข้าด้วยกันเป็นระบบเดียว ส่วนใหญ่จะเป็นการบูรณาการระหว่างระบบผู้เชี่ยวชาญกับระบบเครือข่ายนิวรอนเข้าด้วยกัน เช่น โปรแกรมประยุกต์ดาต้าไมนิ่ง ด้านการตลาดและการขายของบริษัท

ประโยชน์ของปัญญาประดิษฐ์
1. ข้อมูลในระบบจะถูกเก็บในลักษณะที่เป็นฐานความรู้ขององค์การ
2. ช่วยเพิ่มความสามารถให้กับฐานความรู้ขององค์การด้วยการเสนอวิธีการแก้ปัญหาสำหรับงานเฉพาะด้าน
3. ระบบจะถูกนำมาช่วยทำงานในส่วนที่เป็นงานประจำหรืองานที่น่าเบื่อหน่ายสำหรับมนุษย์
4. ระบบจะช่วยสร้างกลไกที่ไม่นำความรู้สึกส่วนตัวของมนุษย์ เช่น ความลำเอียง ความเหนื่อยล้า ความเบื่อหน่าย ความกังวล เข้ามาเป็นองค์ประกอบในการตัดสินใจ

ระบบผู้เชี่ยวชาญ (Expert Systems)
เป็นระบบที่ช่วยในการแก้ปัญหาหรือช่วยในการตัดสินใจโดยใช้วิธีเดียวกับผู้เชี่ยวชาญที่เป็นมนุษย์


องค์ประกอบของผู้เชี่ยวชาญ
1. ฐานความรู้ (Knowledge Base) เป็นส่วนของความรู้ของผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด ซึ่งจะเก็บไว้ในฐานข้อมูลของระบบ
2. โปรแกรมของระบบผู้เชี่ยวชาญ (Expert System Software หรือ Software Resources) แบ่งออกได้ 2 ส่วน
1) ส่วนที่ใช้ในการประมวลผลความรู้จากฐานความรู้
2) ส่วนที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารกับผู้ใช้

ประโยชน์ของระบบผู้เชี่ยวชาญ
1. ช่วยในการเก็บความรู้ของผู้เชี่ยวชาญในด้านหนึ่งด้านใดโดยเฉพาะไว้ ทำให้ไม่สูญเสียความรู้และสามารถนำความรู้มาใช้งานได้ตลอดเวลา
2. ช่วยขยายขีดความสามารถในการตัดสินใจ
3. สามารถเพิ่มทั้งประสิทธิภาพและประสิทธิผลให้กับผู้ใช้ระบบในการตัดสินใจ
4. ช่วยให้การตัดสินใจในแต่ละครั้งมีความใกล้เคียงและไม่ขัดแย้งกัน
5. ช่วยลดการพึ่งพาบุคคลใดบุคคลหนึ่ง


ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์
ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (Geographic Information Systems : GIS) คือ กระบวนการทำงานเกี่ยวกับข้อมูลในเชิงพื้นที่ด้วยระบบคอมพิวเตอร์ที่ใช้กำหนดข้อมูลและสารสนเทศที่มีความสัมพันธ์กับตำแหน่งในเชิงพื้นที่ เป็นระบบข้อมูลสารสนเทศที่อยู่ในรูปของตารางข้อมูล และฐานข้อมูลที่มีส่วนสัมพันธ์กับข้อมูลเชิงพื้นที่ ซึ่งสามารถนำมาวิเคราะห์ด้วย GIS และทำให้สื่อความหมายในเรื่องการเปลี่ยนแปลงที่สัมพันธ์กับเวลาได้ เช่น การแพร่ขยายของโรคระบาด การบุกรุกทำลายป่า ฯลฯ เป็นระบบข้อมูลข่าวสารที่เก็บไว้ในคอมพิวเตอร์แต่สามารถแปลความหมายเชื่อมโยงกับสภาพภูมิศาสตร์อื่นๆได้
ตัวอย่างระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์

องค์ประกอบของระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์


องค์ประกอบหลักของ GIS แบ่งออกเป็น 5 ส่วน
1. อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ รวมไปถึงอุปกรณ์ต่อพ่วงต่างๆ เช่น เครื่องอ่านพิกัด เครื่องกวาดตรวจ พล็อตเตอร์ เครื่องพิมพ์ ฯลฯ
2. โปรแกรม คือชุดคำสั่งสำเร็จรูป เช่น โปรแกรม Arc/Info, MapInfo ฯลฯ
3. ข้อมูล คือข้อมูลต่างๆ ที่ใช้ในระบบ GIS เช่น ข้อมูลเชิงภาพ (Graphic Data) จะใช้จุด เส้น และพื้นที่แทนปรากฏการณ์ทางภูมิศาสตร์บนโลก และ ข้อมูลอรรถอธิบาย (Attribute Data) เป็นข้อความอธิบาย ที่มีความสัมพันธ์กับข้อมูลเชิงภาพ เช่น ชื่อถนน ลักษณะพื้นผิว ฯลฯ
4. บุคลากร คือผู้ปฏิบัติงานซึ่งเกี่ยวข้องกับระบบ GIS
5. วิธีการหรือขั้นตอนการทำงาน คือ วิธีการที่องค์กรนั้นนำ GIS นำไปใช้


หน้าที่หลักของระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์
1. การนำเข้าข้อมูล (Input)
2. การปรับแต่งข้อมูล (Manipulation)
3. การบริหารข้อมูล (Management)
4. การเรียกค้นและวิเคราะห์ข้อมูล (Query and Analysis)
5. การนำเสนอข้อมูล (Visualization)


ประโยชน์ของระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์
1. ช่วยลดการทำงานที่ซ้ำซ้อนจากการทำงานด้วยมือ
2. แก้ปัญหาความล่าช้าของข้อมูล
3. สามารถหลีกเลี่ยงความขัดแย้งของข้อมูลได้ในระดับหนึ่ง
4. สามารถใช้ข้อมูลร่วมกันได้
5. สามารถควบคุมความเป็นมาตรฐาน
6. สามารถจัดหาระบบความปลอดภัยที่รัดกุมได้
7. สามารถควบคุมความคงสภาพของข้อมูลได้

ระบบ GIS มีความสามารถในการเชื่อมโยงข้อมูลเข้ากับตำแหน่งที่ตั้งจึงเป็นระบบที่เหมาะสมกับข้อมูลสิ่งแวดล้อมมากกว่าระบบสารสนเทศประเภทอื่น แต่การนำระบบนี้มาใช้ควรคำนึงถึงประเด็นดังนี้

1) บุคลากรมีจำกัด: งานด้าน GIS ต้องอาศัยผู้รู้เฉพาะทาง
2) ค่าใช้จ่ายสูงและใช้เวลานาน: การสร้างแผนที่อิเล็กทรอนิกส์ขึ้นเองมีค่าใช้จ่ายสูงและใช้เวลานานทั้งในด้านการศึกษาข้อมูล และการดิจิไทซ์ (Digitize)
3) ความถูกต้องและเชื่อถือได้ของข้อมูล: ระบบ GIS ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลประชากร โรค หรือจำนวนผู้ป่วย ฯลฯ หากข้อมูลไม่ตรงกับความจริงแล้ว ผลการวิเคราะห์ที่ออกมาแก้ไม่ถูกต้อง

การใช้ประโยชน์จาก RFID ในห่วงโซ่อุปทานของยา

การใช้ประโยชน์จาก RFID ในห่วงโซ่อุปทานของยา

1. สาเหตุที่นำระบบ RFID มาใช้ เพราะมีปัญหาในอุตสาหกรรมยา ไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับยาล้นสต๊อกและยาที่เก็บจนหมดอายุ รวมไปถึงการป้องกันการปลอมแปลงและช่วยบริหารสต๊อกยาอีกด้วย โดยระบบ RFID นี้จะอำนวยความสะดวกสบายและเพิ่มความแม่นยำในการตรวจสอบข้อมูลและประวัติของยาที่ผลิตและจำหน่าย เป็นการลดต้นทุนและเพิ่มคุณภาพในการใช้ยาให้มีความปลอดภัย

2. ข้อดี-ข้อเสียของการนำ RFID มาใช้
ข้อดี
1. ทำให้เห็นของในสต๊อกได้ทั้งหมด รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน โดยระบบนี้สามารถตรวจจับยาได้ทุกภาชนะบรรจุไม่ว่าจะอยู่ตรงจุดไหนของโซ่อุปทานก็ตาม ทำให้ง่ายและเร็วต่อการจัดการในการตรวจสอบและขนส่ง
2. สามารถควบคุมการสูญหายและปกป้องชื่อเสียงของยี่ห้อผลิตภัณฑ์ คือสามารถตรวจสอบที่มาที่ไปและจำนวนของสินค้าได้ทุกจุดในโซ่อุปทาน
3. ความปลอดภัยในการใช้ผลิตภัณฑ์ยา การเรียกยาคืน และข้อกำหนดต่างๆ โดยระบบ RFID นี้สามารถตรวจสอบยาปลอมรวมทั้งล็อตของยาและวันหมดอายุ ซึ่งมีประโยชน์ในการบริหารการหมดอายุของยา และช่วยลดระยะเวลาในการค้นหาสินค้าที่ต้องการเรียกกลับคืนได้เป็นอย่างดี

ข้อเสีย
1.มีราคาแพงอาจไม่คุ้มทุนถ้าหากว่าธุรกิจมีขนาดไม่ใหญ่
2. การดูแลระบบอาจเป็นเรื่องที่ต้องใช้ความชำนาญเป็นพิเศษ
3.เป็นการเพิ่มภาระต้นทุนในการทำธุรกิจ

3.RFID สามารถนำไปใช้ในงานอื่นๆได้อีก เช่น นำไปใช้ในห้องสมุด
RFID at Library ขณะนี้ได้มีห้องสมุดของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งของไทยได้ลองนำเทคโนโลยี RFID มาใช้นำร่องกับระบบห้องสมุด เพียงติดชิพอาร์เอฟไอดีไว้ที่หนังสือในห้องสมุด แล้วใส่ข้อมูลต่างๆ ของหนังสือเล่มนั้นๆ ไว้ในชิพ อย่างเช่น ข้อมูลชื่อหนังสือ ประเภทหนังสือ ชั้นที่เก็บหนังสือ และติดเครื่องอ่านไว้ตามพื้นที่ต่างๆ ซึ่งการนำเอา RFID มาใช้กับระบบห้องสมุดนี้ โดย RFID จะช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้ดูแลและผู้ที่มาใช้บริการห้องสมุด ไม่ว่าจะเป็น การยืมหรือคืนหนังสือ ที่สามารถทำได้ในคราวเดียว ไม่ต้องมานั่งคีย์ข้อมูลของหนังสือแต่ละเล่มแบบทีละเล่ม หรือไม่ต้องมานั่งยิงบาร์โค้ดไปทีละเล่ม เมื่อผู้ใช้บริการเดินผ่านเครื่องอ่าน เครื่องจะรับส่งสัญญาณวิทยุกับตัวชิพที่ติดในหนังสือ เพิ่มความรวดเร็วในการยืม-คืน เมื่อนำมาใช้ร่วมกับระบบคอมพิวเตอร์ในห้องสมุด จะช่วยตรวจสอบให้ด้วยว่า หนังสือเล่มที่นักศึกษาต้องการได้ถูกยืมไปหรือยัง กับการใช้เพียงระบบคอมพิวเตอร์ในการสืบค้นข้อมูลแบบเก่า ถึงในฐานข้อมูลจะบอกไว้ว่าหนังสือเล่มนี้ๆ ยังไม่มีใครยืมไป ทว่าเมื่อเดินหายังชั้นหนังสือแล้วกลับปรากฏว่า หนังสือได้หายตัวไปเสียแล้ว แต่กับห้องสมุดที่นำ RFID มาใช้ เพียงเครื่องอ่านที่บริเวณชั้นหนังสือได้รับสัญญาณจาก
ชิพว่าหนังสือถูกเก็บไว้ผิดที่ผิดทาง ก็จะระบุออกมาได้ว่าหนังสือเล่มนี้ๆ ขณะนี้ไปปรากฏตัวที่ชั้นหนังสือนี้ๆ เป็นการป้องกันการซ่อนหนังสือห้องสมุด แม้แต่ปัญหาการขโมยหนังสือของห้องสมุดก็สามารถป้องกันได้ เพราะชิพที่ติดที่หนังสือนี้เมื่อเดินทางผ่านเข้ามาในบริเวณพื้นที่รัศมีการอ่านของเครื่องอ่าน ก็จะได้รับและส่งสัญญาณวิทยุคุยกับเครื่องทันที และด้วยความเป็นคลื่นวิทยุนี้จึงช่วยให้สามารถส่งสัญญาณทะลวงออกมาจากกระเป๋าที่จะใช้ซ่อนหนังสือได้